ความเป็นมาโครงการฯ

      ปัจจุบันทั่วโลกได้ให้ความสำคัญถึงผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมี ความร่วมมือกันในระดับนานาชาติ

    ภายใต้ความตกลงปารีส หรือ COP21 ซึ่งมีความตกลงร่วมกันที่จะรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามให้น้อยลงไปอีกจนถึงต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส หากสามารถกระทำได้ ซึ่งรัฐบาลไทยได้มีแนวทางที่ชัดเจนในการลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศความร่วมมือกับนานาชาติ ในที่ประชุมรัฐภาคีว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 หรือ “COP26” ได้แสดงเจตจำนงว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับสูงสุด และประกาศยกระดับการดำเนินการของไทย โดยประกาศเป้าหมายที่ไทยจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ด้วยการสนับสนุนทางด้านการเงินและเทคโนโลยีอย่างเต็มที่และเท่าเทียม

      ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับเจตจำนงของประเทศในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

    คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) จึงได้เห็นชอบกรอบ “แผนพลังงานชาติ” ซึ่งได้กำหนดแนวนโยบายภาคพลังงานโดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาด และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ตามนโยบายที่รัฐบาลกำหนด โดยกระทรวงพลังงานได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มีสัดส่วนเพิ่มสูงมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบโดยมีแนวโน้มกระจายศูนย์มากขึ้น และผู้ใช้ไฟฟ้ามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าวทำให้ระบบไฟฟ้ามีความจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเพื่อยกระดับความสามารถในการรองรับข้อจำกัดต่าง ๆ โดยการพัฒนาระบบไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น (Grid flexibility) เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนการผลิตไฟฟ้าและความต้องการไฟฟ้าที่ทันต่อสถานการณ์ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคต ประกอบกับ ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้มีทางเลือกในการเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าที่หลากหลายมากขึ้น และเทคโนโลยีที่เป็นทางเลือกลำดับแรก ๆ ในการจัดการ คือ เทคโนโลยีการดำเนินการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response หรือ DR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีต้นทุนต่ำในการสร้างความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการใช้ไฟฟ้าของระบบไฟฟ้าโดยรวม

      ที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการพัฒนา ระบบไฟฟ้าของประเทศไทย

    ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานดังกล่าวเพื่อให้ระบบไฟฟ้าของประเทศไทย พัฒนาไปสู่ระบบสมาร์ทกริด โดยได้ริเริ่มศึกษาและวางแผนแม่บทในการปรับปรุงระบบไฟฟ้า มาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาให้ระบบไฟฟ้าของไทยมีประสิทธิภาพมีความน่าเชื่อถือ มีความปลอดภัย มีความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงพลังงานของโลกอย่างเหมาะสม จึงได้จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริด ของประเทศไทย โดยได้รับความเห็นชอบจาก กพช. เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 ต่อมา สนพ. ได้เร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริดของประเทศไทย ในระยะสั้น พ.ศ. 2560 – 2564 (แผนการขับเคลื่อนฯ ในระยะสั้น) เพื่อเป็นการนำร่องและเตรียมความพร้อมการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริดในส่วนที่มีความสำคัญและมีศักยภาพ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านสมาร์ทกริดอย่างต่อเนื่องและการพัฒนาระบบสมาร์ทกริดสู่เชิงพาณิชย์ในระยะต่อไป โดย สนพ. ได้จัดทำแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริดของประเทศไทย ระยะปานกลาง พ.ศ. 2565-2574 (แผนการขับเคลื่อนฯ ระยะปานกลาง) เพื่อเตรียมดำเนินการพัฒนาระบบสมาร์ทกริดสู่เชิงพาณิชย์ โดยการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response; DR) เป็นเสาหลักที่สำคัญที่ดำเนินการต่อเนื่องจากแผนการขับเคลื่อนฯ ในระยะสั้น เพื่อมุ่งเน้นทิศทางการพัฒนา DR ของประเทศไทยในอนาคต ให้เกิดเป็นธุรกิจการตอบสนองด้านโหลด (DR) และดำเนินการสั่งการการตอบสนองด้านโหลดแบบถาวร (Permanent DR) ให้สามารถใช้งานเป็นผลิตภัณฑ์ในระบบไฟฟ้าให้กับระบบไฟฟ้าได้หลากหลายทั้งในส่วนกำลังผลิตไฟฟ้า (Capacity) และพลังงานไฟฟ้า (Energy) ในระยะแรก และสำหรับแผนระยะยาวจะดำเนินการในส่วนของด้านข้อจำกัดของระบบส่งและระบบจำหน่าย (T&D Constraint) ด้านการเสริมความสมดุลระบบ (Balancing) ด้านการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน (Contingency Event Management) และบริการเสริมความมั่งคง (Ancillary Service) ต่าง ๆ ซึ่งมีความต้องการการตอบสนองด้านโหลดที่รวดเร็ว (Fast Response DR) มีความพึ่งพาได้สูง จึงมีความจำเป็นที่ต้องพัฒนาการดำเนินการตอบสนองด้านโหลดไปสู่แบบอัตโนมัติ (Auto DR) เพื่อให้สามารถมีความพึ่งพkได้(Dependable) เทียบเคียงได้กับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และระบบไฟฟ้าแบบรวมศูนย์ต่าง ๆ ได้

      ปัจจุบัน สนพ. อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาตลาดการตอบสนองด้านโหลดในประเทศ เพื่อให้ระบบไฟฟ้าของไทย

    มีความสามารถรองรับเทคโนโลยีอนาคตเพิ่มมากขึ้นโดยเริ่มจากตลาดผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง-ใหญ่ก่อน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานสมาร์ทมิเตอร์ในผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ นอกจากนี้ ต้นทุนการติดตั้งอุปกรณ์ส่วนเพิ่มเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อ และรองรับการสั่งการจากศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้านั้นยังมีราคาต่อหน่วยสูงอยู่ โดยต้นทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากที่จะขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาการตอบสนองด้านโหลดแบบอัตโนมัติ (Auto DR) อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผู้ประกอบการที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดกลางและใหญ่ บางส่วนมีระบบบริหารจัดการการใช้พลังงาน (Energy Management System) อยู่แล้ว แต่เป็นระบบบริหารจัดการที่เป็นรูปแบบเฉพาะของแต่ละผู้ผลิตอุปกรณ์ (Proprietary Protocol) และยังไม่มีการเชื่อมต่อกับการไฟฟ้า ดังนั้น ถ้าหากผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ให้ความร่วมมือในการเปิดให้ระบบบริหารจัดการการใช้พลังงานสามารถเชื่อมต่อกับการไฟฟ้าได้ รวมถึงมีการพัฒนาอุปกรณ์การใช้พลังงานให้สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับการไฟฟ้าภายใต้มาตรฐานเดียวกัน จะทำให้อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในงานด้านการตอบสนองด้านโหลดได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดการตอบสนองด้านโหลดขยายไปสู่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กได้ง่ายมากขึ้น และสามารถนำแหล่งทรัพยากรดังกล่าวมาช่วยบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเวลาต่าง ๆ ได้ ซึ่งการตอบสนองด้านโหลดจะเป็นกลไกสำคัญของการพัฒนาระบบสมาร์ทกริดที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศเพื่อรองรับแนวโน้มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต

      ดังนั้น สนพ. จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการพัฒนาแนวทางเพื่อเตรียมความพร้อมและ ส่งเสริมการสั่งการการตอบสนอง

    ด้านโหลดแบบอัตโนมัติ (Auto-DR) โดยการพัฒนาแนวทางหรือนโยบาย เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนธุรกิจด้านการตอบสนองด้านโหลดแบบอัตโนมัติให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการพัฒนาความร่วมมือกับผู้ผลิตอุปกรณ์ ผู้พัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงาน ทำให้เกิดมาตรฐานการทำงานร่วมกันกับระบบการตอบสนองด้านโหลด เพื่อให้ผู้ผลิตอุปกรณ์หันมาพัฒนาอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานในการรองรับการสั่งการการตอบสนองด้านโหลดได้ และเกิดการใช้งานในประเทศในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ดูแลระบบไฟฟ้าสามารถสั่งการการตอบสนองด้านโหลด (DR) ผ่านอุปกรณ์หรือระบบบริหารจัดการพลังงานของผู้ใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเชื่อถือได้ ซึ่งจะทำให้การตอบสนองด้านโหลดสามารถใช้เป็นผลิตภัณฑ์ในระบบไฟฟ้าได้ในระยะยาว